การบริหารจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
บริษัทฯ มุ่งมั่นจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกส่วนต้องร่วมมือกันในการแก้ปัญหาเพื่อตอบสนองต่อการที่ประเทศไทยประกาศเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิ NET ZERO ในปี 2065 ในที่ประชุม COP26
ด้วยความที่บริษัทฯเป็นส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมฯซึ่งเป็นภาคที่มีการใช้พลังงานสูงและมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่สินค้าบรรจุภัณฑ์ บริษัทฯจึงมุ่งเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกโดยเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตฟิล์มที่มีคุณภาพสูง ในขณะเดียวกัน ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ใช้พลังงานในกระบวนการผลิตต่ำ และใช้ทรัพยากรที่อย่างมีประสิทธิภาพในทุกกระบวนการ
บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในระดับองค์กร (Carbon Neutrality) ให้ได้ร้ยละ 30 ภายในปี 2030 จากการดำเนินงานปีฐาน 2023 และตั้งใจในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในระดับองค์กร (NET ZERO EMISSION) ในปี 2065 ความตั้งใจดังกล่าวได้แสดงออกผ่านการเข้าร่วมเครือข่ายคาร์บอนนิวทรอลแห่งประเทศไทยซึ่งจัดตั้งโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) นอกจากนี้ บริษัทยังได้เข้าร่วมเครือข่ายคาร์บอนนิวทรอลประเทศไทย (Thailand Carbon Neutral Network: TCNN) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิด้วย
การกำกับดูแลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Climate Change Governance
บริษัทฯ กำหนดโครงสร้างการกำกับและบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุมตั้งแต่ระดับกรรมการบริษัทและถ่ายทอดไปยังระดับปฏิบัติการ เพื่อให้การบริหารจัดการการดำเนินงานสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวไปกับวิสัยทัศน์ พันธกิจของบริษัทฯ คณะกรรมการที่รับผิดชอบในการดูแลจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ คณะกรรมการบรรษัทภิบาลและการจัดการด้านความยั่งยืน (Corporate Governance and Sustainability Committee) คณะกรรมการดังกล่าวเป็นผู้กำหนดเป้าหมายการจัดการด้านความยั่งยืนและกำกับดูแลการบริหารงานด้านความยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมถึงการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย นอกจากนี้ ยังมี คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee) ที่ดำเนินการกำกับดูแลการดำเนินงานด้านความเสี่ยง ซึ่งครอบคลุมความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย
โครงสร้างการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Organizational Structure of Climate Change Governance
การบริหารจัดการความเสี่ยง
บริษัทฯ ได้ประเมินปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็น ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภค ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk) ที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สำหรับการประเมินความเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทฯประเมินตามแนวทางของ Task Force on Climate-Related Financial Disclosure (TCFD) โดยบูรณาการเข้ากับการบริหารความเสี่ยงองค์กร
บริษัทฯ ได้จัดทำนโยบายบริหารความเสี่ยง จัดตั้งหน่วยงานบริหารความเสี่ยง และได้ดำเนินการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับสากล ตามแนวทางของ COSO-Enterprise Risk Management (COSO-ERM)ร่วมกับการบริหารงานคุณภาพ ISO 9001:2015 เพื่อป้องกันและจัดการประเด็นความเสี่ยงปัจจุบันและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ เพื่อวางแผนมาตรการป้องกันทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
กระบวนการระบุและประเมินความเสี่ยงที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
หน่วยงานบริหารความเสี่ยงและคณะกรรมการปฏิบัติงานบรรษัทภิบาลและความยั่งยืนเป็นผู้พิจารณาความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยพิจารณาในด้านสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจที่มีปัจจัยมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง ได้แก่
บริษัทฯกำหนดระดับความเสี่ยง ได้แก่ เกณฑ์ระดับโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์และเกณฑ์ระดับความรุนแรงไว้ดังนี้
เกณฑ์ระดับโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์
เกณฑ์ระดับความรุนแรงของผลกระทบ
แผนผังระดับความเสี่ยง
ระดับความเสี่ยง คือ โอกาสในการเกิดเหตุการณ์คูณความรุนแรงผลกระทบ
บริษัทฯมีแนวทางในการจัดการความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไปตามระดับความเสี่ยง สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ การบริหารจัดการความเสี่ยง ประเด็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สามารถแยกได้เป็นสองแบบ ดังนี้
Transitional Risks
1. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ
การเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดหรือกฎระเบียบต่างๆในกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก จะมีผลกระทบโดยตรงต่อส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ฟิล์มพลาสติก โครงสร้างราคาต้นทุน บริษัทฯจึงประเมินปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวและและพิจารณาแนวทางบรรเทาผลกระทบ สามารถแสดงตารางแสดงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆได้ ดังนี้
Physical Risks
1. ความเสี่ยงจากภัยแล้ง
กรณีเกิดภาวะภัยแล้ง อาจมีผลกระทบต่อกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ บริษัทฯจึงได้ประเมินความเสี่ยงจากภัยแล้งและพิจารณาแนวทางบรรเทาผลกระทบ สามารถแสดงตารางแสดงความเสี่ยงจากภัยแล้งได้ ดังนี้
2. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ก่อให้เกิดกระแสการแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค บริษัทฯจึงได้ประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สามารถแสดงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ดังนี้
กระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การควบคุมและบรรเทาความเสี่ยง
Transitional Risks
1. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ
การควบคุมและบรรเทาความเสี่ยง
ศึกษาและติดตามกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งในและประเทศคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงค้นคว้าทางนวตกรรมที่ทันสมัยสอดคล้องกับต้องการทางตลาดทั้งในและต้องการทั้งในและต่างประเทศ
Physical Risks
1. ความเสี่ยงจากภัยแล้ง
การควบคุมและบรรเทาความเสี่ยง
การวิเคราะห์ความตึงเครียดของน้ำ
บริษัทฯมีการวิเคราะห์ความตึงเครียดของน้ำเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของความต้องการใช้น้ำในช่วงเวลาที่ต่างกันและตามพื้นที่โรงงานต่างๆ รายละเอียดตาม รายงานความยั่งยืน ประจำปี 2566 หน้า 63 การวิเคราะห์ความตึงเครียดของน้ำ
โครงการ Cooling Water Chiller
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ รายงานความยั่งยืน ประจำปี 2565 หน้า 74 โครงการ Eco-Water สำหรับ Cooling Tower
2. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การควบคุมและบรรเทาความเสี่ยง
-
โครงการติดตั้งโซล่าเซลล์ ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 1 เมกกะวัตต์ต่อชั่วโมง
-
โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า
-
แนวคิดในการเลือกใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ รายงานความยั่งยืน ประจำปี 2565 หน้า 59
กระบวนการบูรณาการความเสี่ยงที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับความเสี่ยงองค์กร
ตัวแทนจากคณะกรรมการปฏิบัติงานบรรษัทภิบาลและการพัฒนามีการนำเสนอวิเคราะห์และนำเสนอปัจจัยความเสี่ยงที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้แก่หน่วยงานบริหารความเสี่ยงอยู่สม่ำเสมอๆ เพื่อบูรณาการความเสี่ยงที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไปกับความเสี่ยงขององค์กร
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรทางตรงและทางอ้อม
Greenhouse Gas Emissions (Scope 1 and Scope 2)
บริษัทฯ มีการดำเนินงานรวบรวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรจากการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทฯ การรายงานดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะการดำเนินกิจกรรมของโรงงานซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมการดำเนินของบริษัทร่วมทุน
การคำนวนปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ดำเนินงานตามมาตรฐาน “GHG Protocol Corporate Accounting and Reporting Standards”, World Resource Institute และแนวทางการประเมินก๊าซเรือนกระจกขององค์กรตามองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยใช้วิธีการรายงานแบบควบคุม (Operational Control Approach) ก๊าซเรือนกระจกที่อยู่ในขอบข่ายการติดตามผล ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (N2O) ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFC)เพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFC) ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) และ ไนโตรเจนฟลูออไรด์ (NF3)
ในอนาคต บริษัทฯมีแนวคิดในการทวนสอบข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร เพื่อการดำเนินงานรายงานข้อมูลมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และมีความน่าเชื่อถือ
ตารางแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร ขอบเขต 1 และขอบเขต 2 ประจำปี 2564
หมายเหตุ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรทางอ้อมอื่นๆ
Greenhouse Gas Emissions (Scope 3)
บริษัทฯ ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่าทางธุรกิจ โดยได้รวบรวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทางอ้อมอื่นๆ ตามแนวทางของ “GHG Protocol Corporate Value Chain Standard”, World Resource Institute โดยบริษัทฯคัดเลือกเฉพาะกิจกรรมทางธุรกิจที่มีนัยสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 3 ได้แก่ การได้มาซึ่งเม็ดพลาสติก การกำจัดขยะ เป็นต้น ทั้งนี้ เพราะกิจกรรมดังกล่าวมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญในห่วงโซ่คุณค่า มีการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ กิจกรรมดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงหรือโอกาสทางธุรกิจ และกิจกรรมดังกล่าวอยู่ในขอบข่ายความสนใจของบริษัทซึ่งอาจมีแนวทางบริหารจัดการในอนาคต
ตารางแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรขอบเขต 3 ประจำปี 2564
หมายเหตุ
ความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อตันการผลิต
Greenhouse Gas Emissions Intensity (Scope 1 and Scope 2)
บริษัทฯ กำหนดค่าความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเปรียบเทียบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อปริมาณการผลิต (ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต่อ ตัน) สามารถแสดงได้ ดังนี้
ตารางแสดงค่าความเข้มข้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 1และขอบเขต 2 ต่อปริมาณการผลิต
ตารางแสดงค่าความเข้มข้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 1-3 ต่อปริมาณการผลิต
หมายเหตุ
แนวทางลดการใช้พลังงานและลดก๊าซเรือนกระจก
Carbon Reduction Initiative
โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 1 เมกะวัตต์
บริษัทฯ ติดตั้งโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ขนาด 1 เมกะวัตต์ ขนาดกำลังผลิตต่อแผง 540 วัตต์ ติดตั้ง 1,851 แผง โครงการดังกล่าวสามารถผลิตไฟฟ้าทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากสายส่งได้จำนวน 1,365,105.96 กิโลวัตต์ ในช่วงเวลาการดำเนินงานตั้งแต่เดือนมีนาคม-ธันวาคม 2566 บริษัทฯคาดการณ์ว่าสามารถลดก๊าซเรือนกระจกจากโครงการได้จำนวน871 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
บริษัทฯ คาดว่าจะนำโครงการดังกล่าวเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) เพื่อเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกลดก๊าซเรือนกระจกในเชิงพาณิชย์ด้วย
โครงการ Eco-Water สำหรับ Cooling Tower ช่วยลดตะกรันและลดการใช้สารเคมี
ในปี 2566 บริษัทฯ มีแผนการติดตั้งระบบบำบัดน้ำแบบ Non-Chemical สำหรับ Cooling Tower โดยทั่วไปแล้ว Cooling Tower จะระบายความร้อนได้ลดลงหากถาดน้ำเกิดตะกรันอุดตัน มีตะไคร่และอาจเกิดเชื้อโรค หรือ Condenser Tube มีการอุดตัน ผุกร่อน ทำให้ประสิทธิภาพต่ำลง
บริษัทฯ วางแผนจะนำระบบ Eco-Water ที่มีอุปกรณ์ Oxidizer และ Copper/Silver Ion เข้ามากำจัดแบคทีเรียและใช้ Ultrasonic ในการทำให้โครงสร้างตะกรันแตกออกและสามารถกรองออกได้ง่าย ระบบดังกล่าวช่วยลดการซ่อมบำรุง Cooling Tower เพิ่มสมรรถนะการทำความเย็นที่ดีขึ้น และสามารถทำให้ลดการใช้สารเคมีในการบำบัดน้ำสำหรับ Cooling Tower ลงได้ ประมาณ 30 ลิตรต่อครั้ง หรือประมาณ 120,000 บาทต่อปี
โครงการ DFD Direct Flake Dosing
โครงการติดตั้งระบบรีไซเคิลเศษฟิล์มพลาสติกโดยตรง (Direct Flake Dosing: DFD) ลดกระบวนการหลอมเศษพลาสติกและแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล โดยระบบจะดึงเศษพลาสติกที่เกิดขึ้นภายในกระบวนการผลิต เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ผ่านกระบวนการหลอมและหลอมรวมเข้ากับวัตถุดิบหลักอย่างเม็ดพลาสติก และฉีดออกมาเป็นแผ่น ผ่านกระบวนการผลิตเป็นฟิล์มพลาสติก ซึ่งยังเป็นการช่วยลดการใช้ปริมาณเม็ดพลาสติกและลดพลังงานที่ใช้ในการหลอมและแปรรูปลง ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น
บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถลดการใช้ Virgin Resin ได้ร้อยละ 20 หรือราว 8,640 ตันต่อปี จากโครงการ Direct Flack Dosingสามารถลดขั้นตอนการผลิตและสามารถประหยัดพลังงานได้ 0.3 กิโลวัตต์ต่อกิโลกรัม โครงการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งสิ้นกว่า 16,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจากการลดการใช้เม็ดพลาสติก (Virgin Resin) และประหยัดการใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการหลอมเม็ด
โครงการดังกล่าวมีแนวโน้มจะนำเข้าขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานสากล (VERRA) ตามวิธีการคิด AMS-III AJ, Recycling and Recycling of Materials from Solid Wastes (Small Scale Methodology)
Task Force Climate-Related Financial Disclosure (TCFD)
เอกสารแสดงเจตจำนงค์ในการขับเคลื่อนและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในระดับองค์กร
รายงานการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร บริษัท เอ เจ พลาสท์ จำกัด (มหาชน)
A.J. Plast ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ NETZERO EEC
บริษัทฯเข้าร่วมพิธีเปิดโครงการและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการขับเคลื่อนสู่ Net Zero EEC เพื่อสนุบสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศเพื่อระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ EEC เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566